Letter falling star fall down
นิทรรศการ Letter falling star fall down โดย วรัญญา ทองบ่อ หรือ Jood Jung
11 มีนาคม-11 เมษายน 2566
1) ลาก่อนเพื่อนรัก
นิทรรศการ Letter falling star fall down ของวรัญญา ทองบ่อ ในครั้งนี้ ให้ความสนใจกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดขอนแก่น เมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้า การปกครองและมีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติมายาวนาน
ศิลปินสนใจเรื่องราวที่เป็นตำนานและสร้างความดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนผู้สนใจความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยา โดยเธอเก็บงำความลับในใจไว้คอยกระซิบเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ไว้ว่า
“ค.ศ. 3023 (ยุค Disruption)
โลกของเราได้มีอุกกาบาตตกลงมา เจ้าไดโนเสาร์ทั้งหลาย เจ้าจง หนักแน่นและยืนหยัด
จุดเล็ก ๆ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
จากสิ่งเก่า ๆ ก้าวสู่สิ่งใหม่
จากสิ่งใหม่สู่การพัฒนาเพื่อเปลี่ยนแปลง…
ผองเพื่อนไดโนเสาร์ได้ตายจากโลกนี้จริงหรือ
จาก: เพื่อนไดโนเสาร์…
ถึง: ผองเพื่อนไดโนเสาร์”
ข้อความลายมือเขียนด้วยชอล์กสีขาวบนพื้นสีดำตรงมุมห้อง ศิลปินต้องการเชื่อมคนดูเข้ากับการเดินทางไปยังอีกมิติของโลก ณ ยุคที่เพื่อนร่วมโลกของเราได้เกิดและตายเป็นฟอสซิลเสียทั้งหมดสิ้นแล้ว ผู้ชมต้องผ่านดงของสะเก็ดอุกกาบาต และฉากทัศน์ที่แต่งขึ้นจำลองผลของคลื่นการล้มตายที่เกิดกับเพื่อนต่างสายพันธุ์ จากแรงกระแทกของวัตถุนอกโลก กระแทกและฉีกร่างยักษ์ร่างน้อยให้ส่วนหัว ลำตัว หาง กระจัดกระจายขาดจากกัน เรื่องราวความรู้ที่คนในปัจจุบัน มีต่ออดีต ก็ถูกปะติดปะต่อ สืบสาวขึ้นจากชิ้นสวน คงเหมือนกับไดโนเสาร์ที่หัวหางมาจากคนละสปีซีส์ หรือวางเฉ เหหันไปคนละทาง
จังหวัดขอนแก่นได้ชื่อว่าเป็นเมืองไดโนเสาร์ มีพิพิธภัณฑ์และมาสคอตเป็นไดโนเสาร์ แน่นอนว่าในกระแสการแข่งขันทางด้านสินค้าวัฒนธรรมต่าง ๆ ในภาคอีสานล้วนแต่ช่วงชิงและแข่งกันนำเสนอภาพลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายและเก่าแก่ของพื้นที่ทั้งในทางชีววิทยา สังคมและวัฒนธรรม
ข่าวหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2562 รายงานการค้นพบ ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ในจังหวัดขอนแก่น เสนอภาพนักโบราณคดีสาธิตวิธีสกัดหินเพื่อเผยซากฟอสซิลของไดโนเสาร์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงกระดูกไดโนเสาร์ต่าง ๆ ที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม การค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์กินเนื้อที่จังหวัดขอนแก่นเมื่อต้นปี 2566 ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปะติดปะต่อวงจรก่อนประวัติศาสตร์ของโลกได้มากขึ้น
กระทั่งความตื่นเต้นเกิดขึ้นในแวดวงโบราณคดีของประเทศไทยเมื่อกลางปีดังกล่าว มีการค้นพบซากฟอสซิลของไดโนเสาร์กินเนื้อสายพันธุ์ใหม่ ชื่อ ภูเวียง เวเนเตอร์ แยนนิโยมิ (Phuwiang venator yaenniyomi) ไดโนเสาร์ตัวนี้ตั้งชื่อตามอุทยานแห่งชาติภูเวียงซึ่งเป็นแหล่งพบฟอสซิลของมัน การค้นพบนี้เป็นเพียงฟอสซิลไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ลำดับ ที่ 10 ในประเทศไทยที่ถูกขุดพบ และชนิดที่ 5 ที่ถูกขุดขึ้นที่นี่ ความรู้ที่เกิดจากวิชาโบราณคดีและบรรพชีวันวิทยา ไม่เพียงสื่อถึงโลกดึกดำบรรพ์ที่ถูกค้นพบเรื่อย ๆ แต่เปรียบเสมือนว่าซากฟอสซิลเหล่านี้เดินทางผ่านกาลเวลาจนพบกับผู้รอคอยมันมาหลายร้อยล้านปี (Chakkrapan Nabtanri and Charit Yonpiem, Bangkokkost, 2019) การเดินทางของซากฟอสซิลข้ามกาลเวลา ช่วยให้เห็นว่าโลกเดินทางผ่านระบบนิเวศต่าง ๆ ทั้งที่อุ้มชูกับล้างผลาญชีวิต
ชั้นดินที่ทับถมผ่านกาลเวลามาเป็นหลายล้านพันปี เก็บงำความลับของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่เคยครองโลกมาก่อนมนุษย์จนกระทั่งถึงการล่มสลายด้วยเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหรือเหตุอุกกาบาตพุ่งชนโลก ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ ชวนให้เราคิดว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเปรียบเสมือนผู้อาศัยอยู่บนเรือที่ล่องไปในอวกาศอันเวิ้งว้าง
ศิลปินสนใจหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของไดโนเสาร์ที่ชวนให้ทุกคนคิดถึงการเดินทางผ่านกาลเวลามายาวนานจนทิ้งร่องรอยให้เราเห็นว่าทุกอย่างล้วนแต่สามารถจะถูกลบล้างไปจากพื้นโลกนี้ได้ทั้งสิ้น จนกระทั่งชวนให้เราตระหนักถึงการลดความอหังการของมนุษย์ได้เช่นกัน
แม้แต่การเดินทางของศิลปิน มีทั้งการเดินทางข้ามภูมิภาคจากจังหวัดเชียงใหม่ มายังจังหวัดขอนแก่น ได้เปลี่ยนสภาพภูมิศาสตร์ จนมาพบบรรยากาศที่แตกต่างกันระหว่างสองเมือง ซึ่งให้แรงบันดาลใจศิลปินเกี่ยวกับการเดินทางและการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ การทำงานในเมืองทำให้เธอค้นพบข้อจำกัดในการทดลองทางวัสดุเพื่อที่จะจัดวางลงในพื้นที่รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เป็นกล่องกระจก การเล่นสนุกและการแต่งเรื่องขึ้นมาราวกับว่ากล่องกระจกนั้นเป็นชั้นวางของเล่น ช่วยทำให้ผู้ชมรู้สึกร่วมสนุกไปกับจินตนาการในการติดต่อกับเพื่อนไดโนเสาร์ต่างสายพันธุ์ที่อยู่โพ้นไกลจากกาลเวลาของสายพันธุ์มนุษย์ที่ครองโลกในปัจจุบัน
การเดินทางข้ามชุมชน เวลาลงไปทำงานร่วมกันเยาวชนในชุมชนมิตรภาพเพื่อที่จะทำกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการหรือ workshop โดยนำวัสดุที่พบใกล้ตัวคือปูนปลาสเตอร์ หุ่นไดโนเสาร์ของเล่นพลาสติกมาประดิษฐ์เป็นฟอสซิลส่วนตัว การเล่นดังกล่าวนี้ทำให้เรานึกถึงความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่หายไปแล้วแต่ถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ผ่านเทคโนโลยีหรือการผลิตซ้ำไม่ว่าจะเป็นเหรียญผสมมวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกบดอัดเข้าด้วยกันกระทั่งกลายไปเป็นวัตถุเพื่อการบูชาเครื่องรางที่ให้สรรพคุณต่าง ๆ ตามความเชื่อของแต่ละคน เช่นเดียวกับฟอสซิลที่ทำให้โลกของเพื่อนไดโนเสาร์ที่สาบสูญตกมาอยู่ในมือเรา
2) เมื่อดวงอาทิตย์ดับ….ก่อนโลกจะแตก
บรรยากาศการจัดวางในนิทรรศการ Letter falling star fall down เมื่อแรกเข้าชมงาน พอจะเดาได้ว่า ศิลปินต้องการจะทำการเสนอภาพในเชิงล้อเลียนต่อเพื่อนต่างสปีซีส์ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว วรัญญาสร้างบรรยากาศของการแตกกระจัดกระจายไดโนเสาร์พลาสติกที่ถูกฉีก ถูกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วประกอบเข้ากับเศษวัสดุที่เป็นตัวแทนของโลกสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นดินสังเคราะห์ อิฐบล๊อค ก้อนหิน ขวดแก้ว ขวดพลาสติก ที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกเราในวันนี้เต็มไปด้วยการทับซ้อนกัน จนปะปนระหว่างสิ่งหลงเหลือตกค้างจากยุคสมัยต่าง ๆ ราวกับชั้นดินที่รอนักโบราณคดี หรือบรรพชีวันวิทยากลับไปขุดค้น
การเปลี่ยนแปลงที่มีช่วงเวลายาวนานทำให้เรานึกถึงการดำรงอยู่ของตัวตนท่ามกลางพหุสายพันธุ์เทคโนโลยีและการล่มสลายของธรรมชาติ นักปรัชญาได้ชวนให้เราคิดถึงว่าในอนาคตอันไกลโพ้นที่โลกจะถูกดูดกลืนเข้าสู่ความร้อนระอุของดาวแคระขาวเมื่อดวงอาทิตย์ชราภาพและจะสิ้นอายุขัย ฌ็อง ฟรองซัวส์ ลิโยทาร์ด (Jean-Francoise Lyotard) เสนอสั้น ๆ ว่า มนุษย์ล้วนทำความเข้าใจตนเองกับโลกผ่านการเล่าเรื่องหรือตำนาน (narrative) หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของการปลดปล่อยตนเองของมนุษย์ จนกระทั่งนำมาสู่คำถามที่เข้มข้นที่สุดว่าเมื่อเทคโนโลยีเจริญถึงขั้นสุดแล้ว ยังจำเป็นจะต้องมีมนุษย์ในแบบเดิมอีกหรือไม่ เขาเสนอความคิดดังกล่าวไว้ในงานชิ้นหนึ่งที่ย่นย่อการวิวัฒนาการของมนุษย์บนโลก ที่เปรียบเป็นนิทาน ใจกลางของปัญหาของการสิ้นอายุขัยของระบบสุริยะ ไม่ใช่การมีชื่อเรียก หรือถูกเล่า แต่หมายถึงการล่มสลายของแก่นแท้มนุษย์ (Lyotard, 1997: 84) มนุษย์จะเลือกว่าตัวเองเหลือแค่สมองหรือจิต หรือมนุษย์ต้องอยู่คู่กับสมอง ในทำนองเดียวกับที่มนุษย์มองซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นบทสรุปของมหายุคที่ตนเองมองกลับไป และเล่าถึงมัน
เราอาจมีจุดจบสองแบบคือตายกันหมดหรือหาทางส่งต่อความเป็นมนุษย์ของเราผ่านการสำเนา จนมีคำถามสำคัญต่อมาอีกคือ เมื่อชีวิตของมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยส่วนสำคัญคือความคิดจิตใจกับร่างกาย การที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในอนาคตร่างกายอาจจะต้องมีการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการแปลงไปเป็นร่างที่ผนวกกับจักรกล ซึ่งท้าทายว่าที่จริงแล้ว ตัวตนของมนุษย์คือจิตใจและความทรงจำ (Sim, 2001: 31)
ในอนาคตมนุษย์จะเก็บอะไรไว้ เอาวิญญาณไปใส่ร่างโคลน หรือเมื่อโลกจะสูญสิ้นจิตใจและความทรงจำอาจจะถูกฝังอยู่ในไมโครชิป ที่เก็บวิญญาณ เพื่อถ่ายลงสมองกลอัจฉริยะ แล้วเก็บฝังไว้ในยานอวกาศเพื่อที่จะนำเราไปกำเนิดในร่างใหม่ในอนาคตหากเราได้เจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่อุดมสมบูรณ์และปลอดภัย เพราะทุกชีวิตล้วนเผชิญชะตากรรมที่รู้ล่งหน้าไม่ได้ ตำถามสำคัญคือตัวเราตายได้ แล้วถ้าจิตใจ ความทรงจำตายไม่ได้ เมื่อฝังแคปซูลจิตวิญญาณลงในร่างใหม่ ร่างนั้นยังเป็นตัวเราหรือไม่ เช่นกันกับการโคลนไดโนเสาร์ขึ้นใหม่จากดีเอ็นเอ ในภาพยนตร์ Jurassic Park
3) สำเนาชีวิตเป็นชีวิตในตัวมันเอง
จากตัวอย่างคำถามทางปรัชญา ว่ามนุษย์ถูกท้าทายแทรกแซงมากยิ่ง ๆ ขึ้น จนความเป็นมนุษย์เริ่มร่อยหรอลง (the inhuman) มาจากผลกระทบที่สำคัญ คือการเสื่อมสภาพหรือดับลงของโลกในฐานะส่วนหนึ่งของระบบสุริยะและมนุษย์ ที่ต้องสิ้นอายุขัย จนถึงวันที่ดวงอาทิตย์ดับสูญใน 4.5 พันล้านปี ข้างหน้า นำมาสู่ข้อโต้แย้งว่ามนุษย์จะมีต่อไปโดยหลงเหลือแค่ความคิด หรือเป็นระบบเล็ก ๆ ที่ทำงานต่อไปโดยเชื่อมวงจรเข้ากับคอมพิวเตอร์ เพราะแม้แต่ระบบทุนนิยมขั้นสูง ไม่ได้ใช้แต่การลงมือลงแรงของมนุษย์อีกต่อไป แต่ว่าเกิดจากการลดทอนปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์
ขณะที่คอมพิวเตอร์แม้กักเก็บเอกสาร ประมวลผลได้คล่องและแม่นยำกว่ามนุษย์ เร็วกว่าจนเกิดคำถามที่สำคัญว่า สติปัญญาจำเป็นต้องอาศัยร่างกายอีกต่อไปด้วยหรือ ทั้งยังมองว่า เมื่อเทคโนโลยีมีแต่ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่รีรอวัฏจักรการสิ้นอายุขัยของมนุษย์ ตลอดจน เมื่อเทียบกันแล้วคอมพิวเตอร์สามารถโปรกแกรมได้ล่วงหน้า ต่างจากมนุษย์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งทำให้มนุษย์เป็นเพียงตัวป้อนระบบทุนหรือการพาณิชย์ (Sim, 2001: 29-30) จนน่าวิตกว่า ในอนาคตมนุษย์นี้เองที่ต้องแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากร กับสิ่งที่ไม่มีร่างกาย อภิตำนานเหล่านี้ท้าทายความเป็นมนุษย์หรือภาวะหลังมนุษย์ ที่ถูกท้าทายจากจักรกลสมองกลอัจฉริยะและเทคโนโลยีชีวภาพที่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะ หรือสร้างร่างเทียม
การสูญพันธุ์ของเพื่อนไดโนเสาร์ในนิทรรศการของวรัญญา ทำให้เรานึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันยาวนานที่ถูกเล่าขานผ่าน การปลดปล่อยและการเอื้อมถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดยุคสมัยโดยเฉพาะในโลกสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความคิดมนุษยนิยมที่ทำให้มนุษย์นั้นเชื่อมั่นในการกำหนดชะตากรรมตนเอง จนมาถึงสารวัตรที่ 20 ที่ศาสตร์อย่างจิตวิเคราะห์ เคยให้เห็นพลังงานที่หลับใหลอยู่ในซอกหลืบของจิตใจมนุษย์ที่สามารถทำให้เกิดความสุขความทุกข์หรือความวิปลาสทำลายล้างสังคม รวมตลอดแนวคิดมาร์กซิสต์ได้ท้าทายให้เราจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากการกดขี่
อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 20 เกิดการทำลายล้างสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล กิจการทางการเมืองที่เกิดจากความแตกต่างทางด้านความเชื่อ ความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่ากันกลับทำให้มนุษย์ต้องหันมาทบทวนบทบาทของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่นเดียวกันที่ความตายหรือสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และสปีซีส์อื่น ๆ ทำให้มนุษย์มีทั้งความอาวรณ์และเกิดความตระหนักรู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้แต่เพียงผู้เดียว จากการเปลี่ยนแปลงของมหายุค ที่กำจัดสิ่งมีชีวิตในอดีตให้เหลือเพียงซากฟอสซิล ทำให้เราเปิดใจ ที่จะอยู่ต่อไปในโลกที่ตัวตนของเราถูกปนเปื้อนในระดับนิวเคลียส เมื่อกินอาหารตัดแต่งพันธุกรรม gmo อุ่นอาหารในไมโครเวฟจนปนเปื้อนไมโครพลาสติก มีไวรัสหรือแบคทีเรียดื้อยาที่รอวันกำเริบ จนกระทั่งได้ยินคำศัพท์ใหม่เกี่ยวกับผู้ได้รับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลง เช่น climate refugee (นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ (บรรณาธิการ), 2566: 165) หรือการเรียกร้องความยุติธรรมทางสภาพอากาศ (climate justice) ทั้งหมดนี้คือโลกที่เราจะต้องร่วมอยู่อย่างเจีมยเนื้อเจียมตัวในฐานะผู้อาศัย ไม่ใช่เจ้าของ และกาลเวลาต่างพิสูจน์แล้วว่า
“ไดโนเสาร์เต่าล้านปี ใครว่า… ไดโนเสาร์ไม่ใช่สัตว์ปรับตัวไม่เก่ง เพราะพวกมันอยู่บนโลกมา 225 ล้านปีแล้ว จวบจนปัจจุบัน” (สัมภาษณ์ศิลปิน, ออนไลน์)
รายการอ้างอิง
Jean-Francoise Lyotard. (1997). Postmodern Fables, translated by Georges Van Den Abbeele. Minnesota : University of Minnesota Press.
Chakkrapan Nabtanri and Charit Yonpiem. (19 October 2019). Dinosaur dig opens up path to the future. retrieved 11 February 2024 from Bangkok Post: https://www.bangkokpost.com/thailand/special-reports/1770549/dinosaur-dig-opens-up-path-to-the-future?fbclid=IwAR0fnH6Fwkfcb3GpXarqsHItWkINnTOAfsoG-aim7GBxutrMoA9i_Agz94Q
Stuart Sim. (2001). Lyotard and the Inhuman. Cambridge: Icon Books.
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ (บรรณาธิการ). (2566). Emerging Methodologies . กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).













